ที่สุดแห่งทุกข์ของผู้มีปัญญา

ท่านต้าเซี่ยวฝอถง :

เราอยากถามท่านว่า ชีวิตนี้ที่บอกว่าสุขใช่สุขที่แท้จริงหรือไม่(ยังไม่ใช่) สุขที่แท้คือสุขที่ไม่มีวันเปลี่ยนมาเป็นทุกข์ แล้วทุกข์เล่า เจอทุกข์ที่แท้จริงหรือยัง บางคนอาจจะรู้ดีกว่าทุกข์วันนี้ยังไม่ใช่ทุกข์ที่เจ็บสาหัสบางคนคิดว่าทุกข์นี้หนักแล้ว ทุกข์นี้ก็เจ็บพอแล้ว แต่ท่านเคยเห็น ไหม ยกตัวอย่างง่ายๆ พอเวลาไฟมืดหมดทั้งห้องเรารู้สึกว่าจะต้องหาความสว่าง เราวิ่งๆ จนชนกว่าจะหาความสว่างได้ ความทุกข์ก็เหมือนตอนเวลาไฟมืด ท่านวิ่งจนชนอะไรเจ็บ ทำไมไม่ยืนนิ่งสักพักหนึ่งให้ตามันปรับให้ชิน แล้วสักพักหนึ่งเราจะค่อยๆ เห็นความสว่าง ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น เมื่อยามที่เราทุกข์ แสงสว่างไม่ได้มาจากภายนอก แต่แสงสว่างอยู่ที่เรายอมรับความทุกข์ แล้วแสงสว่างจะจุดขึ้นภายในใจของเราเหมือนกัน ตอนที่ไฟดับ ใจนิ่ง ใจเย็นๆ สงบนิดหนึ่ง มองดูให้ชัดๆ มองให้ออกแล้วเราจะเห็นชัดเลย แล้วเราจะเห็นความสว่างในใจเราความสว่างจะปรากฏที่ตาเรา แล้วเราจะได้ไม่เดินชนเก้าอี้ล้มคะมำความหมายที่เราต้องการจะบอกก็คือ เวลาที่เรา เผชิญปัญหาขอให้ใช้จิตใจสงบตั้งรับ แล้วยอมรับความจริงว่าตอนนั้นมันมืดอยู่ เมื่อเราเริ่มยอมรับ เราจะเริ่มมองเห็น เราจะเห็นอะไรได้แจ่มชัด ใช่หรือไม่เหมือนเวลาที่จิตใจเราต่อต้านจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนไหม ไม่ชัดเจนถูกหรือไม่ฉะนั้น การยอมรับเป็นการเผชิญกับอุปสรรคด้วยความกล้าหาญและเข้มแข็งนะ
หากชีวิตนี้เปรียบเหมือนเรือ โลกนี้เปรียบเหมือนทะเลอันกว้างใหญ่ บางครั้งน้ำทำให้เรือแล่นไปได้ เหมือนบางครั้งโลกทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ แต่บางครั้งน้ำก็ทำให้เรือคว่ำ เหมือนโลกก็คว่ำชีวิตคนให้ล้มหายตายจากได้ จำไว้นะ เรือนี้โลกใบนี้ความรัก โลภ โกรธ หลง อันนี้ทำให้ชีวิตมนุษย์มีอยู่ได้ แต่ความรัก โลภ โกรธ หลง และตัวเรานี้ ก็คว่ำตัวเราเองให้เจ็บปวดและทุกข์ทนได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือตัวเราเองต่างหาก
มนุษย์มักชอบเป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้ทุกข์ง่ายที่สุดคือ เลือกฟังแต่ที่หูอยากฟัง เลือกดูแต่ที่ตาอยากมอง เรากำลังปิดบังตัวเองอยู่ถูกหรือไม่ ทำไมเราไม่มองสิ่งที่ไม่น่ามองดู แล้วมองให้เห็นว่ามันน่ามองได้เหมือนกันในโลกนี้ไม่ใช่เพราะความแตกต่างระหว่างฟ้ากับดินหรือชีวิตของเราจึงสามารถอยู่ได้ เพราะความแตกต่างระหว่างฟ้ากับดินมนุษย์อยู่ตรงกลาง จึงใช้ประโยชน์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น ความแตกต่างระหว่างเขากับเรา ทำไมไม่ก่อประโยชน์ให้มีคุณค่ามากที่สุดทำไมไปรังเกียจความแตกต่างของเขา เป็นเพราะเขาไม่หล่อเราถึงหล่อเป็นเพราะเขาไม่ดี เราจึงดี ฉะนั้น จะรังเกียจเขาทำไม อย่ามองเพียงความทุกข์ยาก ไม่ใช่ความทุกข์หรือที่ทำให้มนุษย์แข็งแกร่ง ทำให้มนุษย์สู้ชีวิต ฉะนั้นทุกสิ่งแม้จะมีคมและมีทื่อ แต่ว่าในความคมและทื่อท่านก็ต้องรู้จักใช้ประโยชน์ให้สูงที่สุด
เราจะนำพาชีวิตได้งดงาม อย่าเหยียบย่ำสิ่งหนึ่งเพื่อให้อีกสิ่งหนึ่งเกิด อย่างนี้เป็นการกระทำที่ผิด อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราทุกข์และมองไม่เห็นจิตใจของเขานั่นก็คือ เราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เรารู้เรามีนั้นถูกต้อง ส่วนที่เราไม่รู้ไม่มีนั้นไม่ใช่ จริงไหม เหมือนเวลาคุยกับเขาทำไมคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเอาใจของเราเป็นหลัก เราไม่ได้มองใจเขาเอาสิ่งที่เรารู้เป็นหลักมากกว่าดังที่เขาควรจะรู้
เราอยู่ในโลก ความสุขหรือสิ่งที่ดีงามจะบังเกิดได้ต่อเมื่อคนๆนั้นมีแนวทางในความคิด และมีหลักยึดให้กับจิตใจ สังเกตไหมว่าคนเราเกิดมาแล้ว หาจังเลยไม่รู้หาอะไร หาเสร็จแล้วก็ยึดติดแต่ในสิ่งที่หาเคยไหม ที่เราพยายามหาพยายามสร้าง แต่ยิ่งสร้างบางทีกลับมีคนพยายามรึ้อถอนของเรา ยิ่งพยายามยึดเขากลับไม่อยากให้เรายึด แล้วเราจะสร้างอะไร อะไรที่ทำให้สร้างแล้วเขาไม่รึ้อถอนของเรา ผูกพันแล้วเขาไม่ทำลายความผูกพัน อะไรที่สามารถสร้างแล้วถูกใจเขาทำให้เขาอยู่กับเราได้ตลอดรอดฝั่ง ท่านคิดว่าอะไร (ความดี) ใช่ความดีอย่างเดียวไหม ท่านคิดว่ามีอะไรบ้างที่สร้างแล้วเขารื้อถอนออกจากใจเราไม่ได้เลย สร้างแล้วเราเองก็ไปรื้อถอนลบล้างไม่ได้เหมือนกัน(ความจริงใจ ความมีเมตตา ความชื่อตรง) ถ้าเรามีความชื่อตรงอยู่ตลอดชีวิต เราก็ลบความดีออกไปจากใจเขาไม่ได้ ถูกหรือไม่ ถ้าทุกขณะจิตเรามีแต่ให้เขาตลอดกาล เราก็ลบคำว่า เสียสละ ออกไปจากใจเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้น มนุษย์ผู้รู้จักสร้าง มนุษย์ที่ชอบยึดมั่นทำไมไม่สร้างในสิ่งที่ถูกต้องทำไมไม่ยึดมั่นในหลักการที่ควรเป็น
“คนคิดเป็น ฝึกเพียงชนะใจ” มีคำกล่าวว่า เข้าใจคนอื่นเอาชนะคนอื่นก็เรียกว่าคนเก่งคนมีความสามารถ ถ้าเกิดเมื่อไร เข้าใจตัวเองชนะตัวเองได้ คนนั้นเรียกว่าผู้มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ต่างกันมาก แต่มนุษย์เลือกที่จะเข้าใจคนอันมากกว่าที่จะเข้าใจตน มนุษย์เลือกที่จะเอาชนะคนอื่นให้ได้มากกว่าเอาชนะใจตัวเอง เราจึงยังยึดมั่นและหลงทางอยู่ เราจึงต้องทุกข์สุขสลับไปมาอยู่เป็นนิจศีล
ชีวิตคือหนทางที่แท้จริง สามารถนำพามนุษย์ไปสู่ความหลุดพ้นได้ ตราบเมื่อมนุษย์ยอมรับและมองเห็นชีวิตตัวตน เม็ดอัญมณีซ่อนอยู่ในที่มอซอและสกปรกที่สุด พุทธจิตธรรมญาณอันงดงามซ่อนอยู่ในที่ลางๆ เลือนๆ เหมือนมองไม่เห็น แต่แท้จริงมีสิ่งมีชีวิตที่ละเอียดลึกซึ้งและยากที่จะเข้าใจแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ สิ่งนั้นเรียกว่าอะไร บางคนบอกว่าจิตใจ บางคนบอกว่าจิตญาณ แต่อยากจะบอกว่าทั้งจิตใจและจิตญาณก็คือสิ่งเดียวที่เรียกว่า สัจธรรม เมื่อไรมนุษย์สามารถเห็นสัจธรรมที่ไร้รูปนามได้ เมื่อนั้นมนุษย์สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงได้ สามารถค้นพบรากฐานที่แท้จริงของการมีชีวิต เข้าใจไม่อยากเลยนะ แต่ไปให้ถึงยากจริงหรือไม่ พยายามดูเรานะ เราจะพูดช้าๆตัวเราเหมือนลางๆ เลือนๆ ไม่แจ่มชัด แต่ในความลางเลือนในความมืดมนในความสกปรกมอซอนั้น มีสิ่งมีชีวิตหนึ่งแฝงอยู่ สิ่งมีชีวิตนั้นลึกซึ้งยากเข้าใจ สิ่งมีชีวิตนั้นมีอะไรที่แฝงอยู่ กำลังขับเคลื่อนและเดินอยู่บางครั้งก็เดินบางครั้งก็หยุด แต่พอเดินและหยุดแล้ว อาจจะเรียกได้ว่าความไม่แน่นอนที่มีความแน่นอนแฝงอยู่ ถ้าเข้าใจชีวิตก็เข้าใจสัจธรรมถ้าเข้าใจสัจธรรมก็เข้าใจโลกใบนี้ เมื่อเข้าใจทุกอยางแล้ว เห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว จะมีอะไรมาลวงตาไหม จะมีอะไรมาทำให้เราต้องทุกข์เจ็บปวดไหม แต่สาเหตุอะไรที่ทำให้เรามองแล้วแต่ไม่เห็นถึงข้างในเห็นแล้วแต่ทำไมคนเราถึงเจ็บปวด เพราะอะไร (กิเลส)
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความว่างจะก่อเกิดประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อมี“ความมี”และความมีจะสามารถสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อความมีนั้นย่อมลดให้เหลือ “ความว่าง” ลองคิดให้ดีๆ นะ เวลาเรามีที่กว้างๆ เรารู้สึกว่า ว่างเหลือเกิน แต่พอเราซอยให้เป็นห้องแคบๆ เรารู้สึกว่าใช้ประโยชน์มากขึ้น ที่กว้างๆ แต่เราไม่ซอยให้แคบ รู้สึกว่าประโยชน์มันน้อย กว้างเหลือเกิน กว้างจนเราขี้เกียจ แต่พอเราตีให้มันแคบนิดหนึ่งเรารู้สึกว่าเราสามารถสร้างสรรค์ประโยชน์ได้ชัดเจนขึ้นฉะนั้น อย่ามองเห็นแค่ความมีประโยชน์ของความมี แต่จงเห็นว่าความมีนั้น ถ้าหากลดลงให้ว่างแล้วจะมีประโยชน์สูงสุด
ตอนนี้เรามีแล้ว เราหาประโยชน์ในความว่างของเรา อย่ามัวแต่หาความว่างในตัวท่านเลยชีวิตนี้ไม่ใช่ก้อนอิฐที่ต้องนิ่งเพื่อว่างตลอตเวลา แต่ชีวิตนี้บางทีการไหลเวียนการหมุนตัวไป ช่วงที่ไหลเวียนช่วงที่หมุนตัว หากเราหาความว่างได้ นั่นแหละ “ยอดเยี่ยม” ชีวิตนี้ให้อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ตลอดชีวิตได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราว่างโดยอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่เป็นการฆ่าตัวเราหรือ ฉะนั้น ท่ามกลางความเคลื่อนไหว ท่านสามารถหาความว่างได้ เช่นนี้เรียกว่าเก่งนะ
จำไว้ว่า ทุกชีวิตยอมมีวันสิ้นสุด เรื่องทุกเรื่อง อารมณ์ทุกอารมณ์มีวันจบสิ้น แล้วเราสิ้นไปจากใจไหม ถ้าจบได้ทั้งกายและใจนั่นก็คือคนที่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของชีวิต แต่บางคนเรื่องจบแล้วแต่ใจไม่เคยจบเลย มันก็เลยเจ็บปวด มันก็เลยทุกข์ทน ฉะนั้น เป็นคนอยู่ในโลกนี้ เรื่องจบแล้วให้ใจจบไปด้วยนะ เหมือนวันนี้ที่เราเหมือนลมที่ผ่านมา ทำให้ท่านเย็นใจ แต่ลมนี้ก็ต้องผ่านไป คนที่ทำให้ใจตัวเองเย็นได้คือตัวท่านเอง ไม่ต้องรอลมหรอกนะ พัดตัวเราให้เป็นลมแล้วเราจะทำความสุขให้กับทุกคนได้
วันนี้เราศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิต ชีวิตนี้จำไว้ว่า ถ้าเรารู้และเข้าใจไปในทางที่ถูก เราจะสามารถนำพาชีวิตนี้ไปสู่หนทางที่สว่าง และกลับคืนสู่การหลุดพ้นได้ ด้วยการเข้าใจทั้งทุกข์และสุข ยิ่งเข้าใจทุกข์มากเท่าไร หนทางสว่างก็ยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งเอาชนะตัวเองมากเท่าไร ทางสว่างยิ่งบังเกิดสดใสมากขึ้นเท่านั้น

Leave a Reply