พระอาจารย์จี้กง :
ปัญญาของมนุษย์มีจำกัดมีสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นมีสิ่งที่รับรู้ใด้และสิ่งที่รับรู้ไม่ได้ จะทำอย่างไรให้ปัญญาที่จำกัดสามารถเป็นปัญญาที่กว้างไกลไร้ขอบเขต นั่นก็คือ เราต้องรู้จักระวัง ความรัก ชอบเกลียด ชัง ในตัวเรา เพราะมีรัก มีชอบ มีเกลียด มีชัง ทำให้ขอบเขตในปัญญาของเรามีจำกัด พอเรารักสิ่งที่เราอยากมอง เราก็มอง พอเราเกลียดสิ่งที่ไม่อยากมอง ยังไงๆ ก็ไม่มอง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ในเมื่อเรามีรัก ชอบ เกลียด ชัง ที่มีอิทธิพลกับจิตใจเราเช่นนี้ฉะนั้น ต้องวางเฉยบ้างจะทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขวางขึ้น
เวลาเราหลับตาเห็นอะไรไหม แต่เราพอนึกภาพในห้องพระนี้ออกไหม เรามีความทรงจำที่พอระลึกได้ เรามีเหตุการณ์ในอดีตให้เราพอนึกถึงปัจจุบันได้ ศิษย์มีทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น แต่เรายังพอคาดเดาสิ่งที่มองไม่เห็นได้โดยใช้สิ่งที่มองไม่เห็นเป็นตัวคาดเดา ตัวคาดเดานี้เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากปัญญาที่พอจะหยั่งรู้ อดีตที่เคยมีสั่งสมมา ฉะนั้น เวลาเราพบเจอสิ่งที่ยากเดา เราจึงต้องรู้จักเอาอดีตมาเป็นอุทธาหรณ์ เอาปัญญามาเป็นสติตรึกตรองยั้งคิด จึงทำให้เราสามารถรู้และคาดเดาอนาคตได้
ชีวิตอยู่ตรงข้างหน้า ขึ้นอยู่กับปัญญา หากมีปัญญายั้งคิดไม่ต้องกลัวอะไร แต่ในความยั้งคิดนั้นต้องตั้งตรงอยู่ในความไม่ประมาท มีสติปัญญาระลึกชอบอยู่เสมอ จะทำให้เราเดินไปไหนทำสิ่งใด ย่อมสามารถพอจะเดาได้ แต่เมื่อเดินไปไหนทำอะไรแล้ว เรากล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเราทำหรือไม่ หลายคนมีชีวิตอยู่ รู้ เพราะคาดเดาอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร มีความไม่ประมาท แต่พอเจอทุกข์ เจอความลำบาก ศิษย์ไม่กล้ารับ ไม่กล้าสู้ ท้อแท้ คนว่ายน้ำเป็นก็ต่อเมื่อตัวเองยอมลงว่ายน้ำยอมจมสักสองสามครั้ง คนที่จะเอาชนะทุกข์ได้ และรู้จักตัวตนได้ว่าเป็นคนอย่างไร ต้องยอมเจ็บ ยอมโง่ จะกลัวอะไรกับความทุกข์ ถ้ากล้าทุกข์กล้าเจ็บ ต่อไปทุกข์มารอบตัวก็สู้ใหว เพราะเริ่มจับทางออกรู้นิสัยตัวเองแล้วว่า ขี้เกียจอย่างนี้ ขี้กลัวอย่างนี้ ต้องลองสู้สักหน ไม่จมสักหนจะรู้ไหมว่าว่ายน้ำว่ายอย่างไร ลองทุกข์ดูแล้วลองจับแนวทางให้ออก แล้วเราก็จะรู้ว่าทุกข์นั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แถมทำให้เราหลุดพ้นและพบความสุขด้วย