พระอาจารย์จี้กง :
การมาอยู่ในโลกนี้เหมือนทางผ่านทางหนึ่ง เวลาเรามา เรามาอย่างสบายไร้กังวล เวลาเราไปก็ไปอย่างคนหมดทุกข์ไร้กังวล เวลาอยู่ก็อยู่ด้วยความสงบใจ แต่คนในโลกนี้กลับไม่เป็นอย่างนี้ มาก็หวาดกลัวไปก็กลุ้มกังวล อยู่ก็วุ่นวาย ถ้าเมื่อไรศิษย์สามารถอยู่บนโลกนี้อย่างไม่ว่าจะไป ไม่ว่าจะมา มีอิสระเสรี แต่ไม่ดื้อรั้นยังอยู่ในกรอบที่ดีงามได้คนๆ นั้นก็สามารถรู้แจ้งถึงปัญญาได้ หากเวลามีเรื่องที่น่ายินดี ศิษย์ไม่ดีใจจิตไม่ฟู เวลามีเรื่องน่าเสียใจ ก็ไม่มีความเศร้าสลดหดหู่ รักษาสภาวะเป็นกลางของใจได้ตลอด เมื่อนั้นก็คือศิษย์รู้แจ้งถึงปัญญารู้แจ้งถึงการมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่คนที่ไร้อารมณ์ แต่สามารถครองอารมณ์ได้อย่างปกติสุข ครองอารมณ์ได้อย่างราบเรียบ ทำยากไหม ศิษย์เคยทำได้แต่ศิษย์ลืมไป จำไว้นะศิษย์เคยทำได้ แต่ศิษย์ลืมไป
อารมณ์ ความเคยชิน อัตตาตัวเอง ทำให้ศิษย์ลืมตรงนี้ไป คิดแต่เพียงเห็นคนอื่นเสียสิ่งที่รักก็ต้องร้องไห้ เราก็เลยบอกตัวเองว่า เมื่อถึงเวลาตัวเองเสียสิ่งที่รักก็ต้องร้องไห้ เวลาเจอสิ่งที่รักสมหวังก็ต้องดีใจกระโดดโลดเต้น เราได้ยินมาอย่างนี้ได้ฟังมาอย่างนี้ พอถึงคราวตัวเองจริงๆ ก็เลยเป็นแบบนี้ แต่วันนี้อาจารย์มาบอกศิษย์แล้วว่า เจอเรึ่องดีทำใจให้สงบเจอเรื่องทุกข์ใจปลงให้ตกคิดให้ได้ถ้าวางใจได้ขนาดนี้ปัญญาในการยอมรับความจริงจะบังเกิดในใจศิษย์ ปัญญาที่ยอมรับว่าทั้งที่เกิดขึ้นนั้นคือความจริง เราหนีไม่พ้นความจริงแม้ว่าจะดีหรือร้ายนั่นก็คือ ความจริงของเขาหรือความจริงของเรา ความจริงที่เราได้ คือความจริงที่เราเสีย เหมือนศิษย์อยู่บนโลกนี้ ศิษย์เลือกได้ไหมให้มีแต่ฟ้าสว่าง ไม่มีฟ้ามืด ให้ฟ้ามืดอย่างเดียวไม่มีฟ้าสว่างได้ไหม เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น โลกก็ต้องมีคนดี คนร้าย แต่เราเองจะทำตัวอย่างไรให้เหมือนโลก เคยมีไหมที่พอฟ้าสว่าง โลกดีใจกระโดด พอฟ้ามืดโลกร้องไห้น้ำตาร่วมโลก เราลองทำใจให้เหมือนโลกสิ กว้างๆ ถ้าจะมืดฟ้าจะสว่าง ก็คือโลกใบหนึ่ง คือความว่าง คือการเปลี่ยนแปลงภาวะหนึ่งถ้าทำได้ ปัญญาแห่งการรู้แจ้ง ปัญญาแห่งการหลุดพ้นอยู่ในตัวศิษย์เอง